“สำหรับเหล่านักกีต้าร์แล้วเป็นที่รู้กันว่านอกจากการเลือกใช้กีต้าร์ที่มีคุณภาพดีเหมาะสมกับการใช้งานแล้ว อีกสิ่งที่ส่งผลโดยตรงกับเสียงกีต้าร์ที่ได้ก็คือสายกีต้าร์นั่นเอง” และในปัจจุบันนี้ก็มีประเภทและแบรนด์สายกีต้าร์ให้เราเลือกใช้ในท้องตลาดมากมาย โดยบทความนี้ Big Bro Music จะมารีวิวแบรนด์สายกีต้าร์ที่ถือได้ว่าตอบโจทย์การใช้งานของนักกีต้าร์ทั้งมือใหม่และมืออาชีพได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือแบรนด์ “Olympia” นั่นเอง
สายกีต้าร์ Olympia สายคุณภาพจากเกาหลี รับผลิตให้กับสายกีต้าร์แบรนด์ดัง
“Olympia” คือ แบรนด์สายกีต้าร์จากประเทศเกาหลีใต้ที่ผลิตสายกีต้าร์มาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี มีคุณภาพงานไม่แพ้แบรนด์ดัง ๆ ระดับโลกเลยที่เดียว เนื่องจากทางแบรนด์เองก็เป็นผู้ผลิตสายกีต้าร์ให้กับแบรนด์ดังระดับโลกหลายแบรนด์ อย่างเช่น Fender, Gibson,Ibanez,Yamaha,Cort,Epiphone ฉะนั้นเรื่องคุณภาพถือได้ว่าไว้ใจได้เลย
“Olympia” มีรุ่นอะไรบ้าง ?
Olympia มีด้วยกัน 3 ซีรีส์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการและการใช้งานที่ต่างกันดังนี้
เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
1. Standard Series
“Standard Series ถือได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด” เนื่องด้วยราคาที่ไม่แพงและคุณภาพที่คุ้มค่าคุ้มราคา รวมไปถึงมีรุ่นของสายให้เลือกใช้มากมายซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี
สายกีต้าร์โปร่ง มีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นคือ
Acoustic 80/20 Bronze ราคา 120 บาท
Acoustic Phosphor Bronze ราคา 150 บาท
ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้ต่างกันที่วัสดุที่ใช้ทำสายซึ่งก็จะมีผลกับเสียงที่ได้เช่นกัน “แต่สำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มต้นเล่นกีต้าร์แล้วสิ่งที่ควรนำมาพิจารณามากกว่าคือเรื่องของขนาดหรือเบอร์ของสาย” ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลต่อการเล่นของเราพอสมควร รวมไปถึงเสียงที่ได้ก็จะมีความต่างกันด้วย
ในส่วนของขนาดหรือเบอร์สายของทั้ง 2 รุ่นนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะรุ่น Acoustic 80/20 Bronze ที่ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีให้เลือกหลายเบอร์ซึ่งรวมไปถึงสายสำหรับกีต้าร์ 12 สายอีกด้วย
ขนาดหรือเบอร์สายที่แตกต่างกันส่งผลอย่างไร ?
สิ่งที่มีความแตกต่างกันก็คือ ความตึงของสาย ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลต่อแรงกดที่ใช้ในการเล่นด้วยเช่นกัน เช่น สายที่มีเบอร์เล็กก็จะกดได้ง่ายกว่าสายกีต้าร์ที่มีเบอร์ใหญ่ และเสียงที่ได้ก็จะมีความแตกต่างกันด้วยซึ่งในส่วนของสายเบอร์เล็กก็จะมีเสียงที่บางกว่าสายที่มีเบอร์ใหญ่ รวมไปถึงบางเทคนิคการเล่นอาจจะไม่เหมาะกับเบอร์สายบางเบอร์ เช่น สายเบอร์ใหญ่อาจจะไม่เหมาะกับเทคนิคดันสายเพราะจะต้องใช้แรงในการดันสายมากกว่าสายเบอร์เล็ก ซึ่งเบอร์แต่ละเบอร์ก็จะเหมาะกับการใช้งานและความถนัดของแต่ละคน โดยทั่วไปแล้วเบอร์สายกีต้าร์เบอร์ 10 จะเป็นเบอร์มาตรฐาน
สาย 80/20 Bronze กับ Phosphor Bronze ต่างกันอย่างไร ?
สายทั้ง 2 ชนิดจะนิยมใช้กับกีต้าร์โปร่ง โดยสิ่งที่ต่างกันของสายทั้ง 2 ชนิดนี้คือส่วนผสมที่ไม่เหมือนกัน
- สาย Acoustic 80/20 Bronze เป็นสายที่มีส่วนผสมของทองแดง 80% กับ ดีบุก 20% ซึ่งเสียงที่ได้จะมีความใสและมีความคมชัด
- สาย Acoustic Phosphor Bronze เป็นสายที่มีส่วนผสมของทองแดง 95% กับ ดีบุก 5% ซึ่งเสียงที่ได้ก็จะมีความนุ่มนวลกว่าสาย 80/20 Bronze แต่ความคมชัดก็จะน้อยกว่า
สายกีต้าร์ไฟฟ้า
Electric Nickel Wound ราคา 110 บาท
สายกีต้าร์ไฟฟ้าของทาง Olympia เองก็มีให้เลือกหลายขนาดเช่นกัน ซึ่งก็ถือได้ว่าตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี และด้วยราคาที่ไม่แพงจึงถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว
สายกีต้าร์เบสโปร่ง/เบสไฟฟ้า
Acoustic Bass 80/20 Bronze และ Electric Bass Nickel Wound ราคาเริ่มต้น 320 บาท
สำหรับสายกีต้าร์เบสในส่วนของกีต้าร์เบสไฟฟ้านั้นก็มีทั้งรุ่น 4 สาย, 5สาย, และ 6 สาย ซึ่งก็ถือได้ว่าตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี และทาง Olympia เองก็มีสายสำหรับกีต้าร์เบสโปร่งให้เลือกใช้งานอีกด้วย
2. H.Q. Series
“H.Q. Series เป็นซีรีส์ที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงจากประเทศสหรัฐอเมริกา” เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่ดีซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมได้
สายกีต้าร์โปร่ง
High Quality Acoustic 80/20 Bronze ราคา 140 บาท
High Quality Acoustic Phosphor Bronze ราคา 140 บาท
High Quality Round Core Acoustic Phosphor Bronze
เช่นเดียวกับสายกีต้าร์โปร่ง Standard Series ในส่วนของ H.Q. Series ก็มีให้เลือก 2 รุ่นที่มีวัสดุที่ต่างกันและก็มีขนาดของสายให้เลือกหลายขนาดแต่ก็อาจจะมีตัวเลือกขนาดสายน้อยกว่าของ Standard Series
ส่วนรุ่นที่แตกต่างไปคือรุ่น High Quality Round Core Acoustic Phosphor Bronze หรือก็คือสายที่ใช้แกนสายเป็นแบบกลมซึ่งจะให้ลักษณะเสียงที่แตกต่างกับรุ่นอื่น ๆ
สายที่ใช้แกนสายเป็นแบบกลม (Round Core Strings) คือ ?
สายชนิดนี้ต่างจากสายกีต้าร์โดยส่วนใหญ่ในท้องตลาดที่จะใช้แกนสายเป็นหกเหลี่ยม ซึ่งการใช้แกนสายแบบกลมก็จะให้เสียงที่มีความวินเทจ หนาใหญ่ และ มีหางเสียง หรือ Sustain ที่ยาวกว่าแกนสายแบบหกเหลี่ยม รวมไปถึงอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเนื่องจากการพันสายของสายกลมจะแนบสนิทกกว่าสายหกเหลี่ยมจึงไม่มีช่องว่างให้สิ่งสกปรกเข้าไปได้ แต่ด้วยการผลิตที่ยุ่งยากกว่าจึงทำให้มีราคาที่สูงกว่า
สายกีต้าร์ไฟฟ้า
High Quality Electric Nickel Wound ราคา 180 บาท
High Quality Electric Stainless Steel Wound ราคา 160 บาท
High Quality Electric Nickel Flat-Wound
High Quality Round Core Electric ราคา 200 บาท
“สิ่งที่แตกต่างจาก Standard Series นอกจากคุณภาพที่ดีกว่าแล้ว ก็คือตัวเลือกวัสดุที่ใช้ซึ่งมีเพิ่มมาอีก 2 ชนิดได้แก่ นิกเกิล (Nickel) กับ สเตนเลส (Stainless Steel)” และ สายประเภท Flat-Wound ของรุ่น High Quality Electric Nickel Flat-Wound ที่เป็นสายที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์รูปแบบการเล่นที่เฉพาะทางมากขึ้น
สายนิกเกิ้ล(Nickel) กับ สเตนเลส (Stainless Steel) ต่างกันอย่างไร ?
สายทั้ง 2 ชนิดนี้จะนิยมใช้กับกีต้าร์ไฟฟ้า โดยทั้ง 2 สายก็จะให้น้ำเสียงที่แตกต่างกัน
- สายนิกเกิ้ล(Nickel) น้ำเสียงที่ได้ก็จะมีความนุ่มนวลกว่าสเตนเลส
- สเตนเลส(Stainless Steel) เสียงที่ได้จะมีความใสและคมชัด แต่ก็อาจจะมีความกระด้างของเสียงมากกว่าสายนิกเกิ้ล
สาย Flat-Wound คือ ?
สาย Flat-Wound จะเป็นสายที่ใช้โลหะพันสายเป็นแบบชนิดเรียบทำให้ลดแรงเสียดทานเวลาเลื่อนนิ้วบนสายกีต้าร์ แต่เสียงในย่านสูงอาจจะมีไม่มากนักซึ่งอาจจะเหมาะกับนักกีต้าร์สายแจ๊ส แต่ด้วยการผลิตที่ยุ่งยากทำให้มีราคาสูงและเป็นสายกีต้าร์ที่เฉพาะทาง จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
สายกีต้าร์เบสโปร่ง/เบสไฟฟ้า
High Quality Electric Bass Nickel Wound ราคา 450 บาท
High Quality Electric Bass Stainless Steel Wound ราคา 490 บาท
High Quality Acoustic Bass 80/20 Bronze ราคา 420 บาท
High Quality Round Core Electric Bass Nickel Wound ราคา 550 บาท
High Quality Electric Bass Nickel Flat-Wound ราคา 650 บาท
สำหรับสายกีต้าร์เบสของ H.Q. Series เช่นเดียวกับสายกีต้าร์เบส Standard Series ที่มีให้เลือกใช้งานตามความต้องการที่หลากหลายและมีทั้งเบส 4 สาย, 5 สาย, และ 6 สาย รวมไปถึงสายกีต้าร์เบสโปร่งอีกด้วย
สายกีต้าร์คลาสสิก
High Quality Classic Silver Plated Wound ราคา 160 บาท
สำหรับนักกีต้าร์สายคลาสสิกแล้วทาง Olympia เองก็มีสายกีต้าร์คลาสสิกให้เลือกใช้งานเช่นกัน
3. CTS Series
“CTS Series เป็นซีรีส์ของสายเคลือบป้องกันความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสนิม” เพื่อที่จะยืดอายุการใช้งานของตัวสายให้ยาวนานขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเหมาะกับนักกีต้าร์ที่อยากได้สายที่ใช้ได้นานๆและไม่อยากที่จะเปลี่ยนสายบ่อยๆ
สายกีต้าร์โปร่ง
Coated Acoustic 80/20 Bronze ราคา 190 บาท
Coated Acoustic Phosphor Bronze ราคา 240 บาท
2 รุ่นสายเคลือบสำหรับกีต้าร์โปร่งโดยทั้ง 2 รุ่นนี้จะใช้วัสดุในการผลิตที่แตกต่างกันซึ่งก็จะให้คาแรคเตอร์เสียงที่แตกต่างกันและก็มีหลายขนาดสายให้เลือกใช้
สายกีต้าร์ไฟฟ้า
Coated Electric Nickel Wound ราคา 180 บาท
สายเคลือบสำหรับกีต้าร์ไฟฟ้าที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของสายกีต้าร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือได้ว่าเหมาะนักกีต้าร์ที่ที่ต้องการใช้งานสายที่ทนทานและไม่เป็นสนิมง่ายๆ
สายกีต้าร์เบสไฟฟ้า
Coated Electric Bass Nickel Wound ราคา 590 บาท
เช่นเดียวกับ Series ก่อนหน้านี้ สายกีต้าร์เบสไฟฟ้านั้นก็มีให้เลือกใช้ทั้งเบส 4 สาย, 5 สาย, และ 6 สาย แต่สำหรับ CTS Series นี้จะไม่มีสายสำหรับกีต้าร์เบสโปร่ง
นอกจากสายกีต้าร์แล้ว Olympia ยังมีสายเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆอีกด้วย เช่น
สายไวโอลิน / วิโอลา
Violin / Viola Chrome Nickel Silver Wound ราคา 290 บาท
สายดับเบิลเบส ราคา 1,200 บาท/ เชลโล ราคา 790 บาท
สายอูคูเลเล่ ราคา 100 บาท / สายแมนโดลิน ราคา 250 บาท
สายแบนโจ ราคา 150 บาท
สรุป สาย Olypia ดีมั้ย? น่าใช้รึเปล่า?
โดยรวมแล้วด้วยราคาที่ไม่แพงมากกับคุณภาพที่คุ้มค่าคุ้มราคา และมีรุ่นและเบอร์สายให้เลือกใช้หลากหลายทำให้เหมาะกับทั้งนักกีต้าร์มือใหม่ที่ต้องการหาสายกีต้าร์ที่คุณภาพดีและราคาไม่แพงมาใช้ หรือต้องการทดลองใช้สายกีต้าร์แบบต่าง ๆ และนักกีต้าร์มากประสบการณ์ที่อยากได้สายกีต้าร์ในราคาที่ไม่แพงมากและคุณภาพดี ก็ถือว่า Oympia เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากเลยทีเดียว
และนอกจากสายเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ แล้ว Oympia ยังมี Accessories ต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ปิ๊กกีต้าร์ คาโป้ ที่หมุนลูกบิดกีต้าร์ เป็นต้น ซึ่งถ้าท่านได้สนใจก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ ซึ่งจะมีสายกีต้าร์ทุกซีรีส์ ทุกรุ่น ให้คุณเลือก รวมไปถึง Accessories ต่าง ๆ ตามที่คุณต้องการ
ตารางสายชนิดต่างๆของ Olypia พร้อมช่องทางการสั่งซื้อ
สายกีต้าร์โปร่ง | ราคา 120-240 บาท | |
สายกีต้าร์ไฟฟ้า | ราคา 110-200 บาท | |
สายอูคูเลเล่ | ราคา 100 บาท | |
สายเบส | ราคา 320-790 บาท | |
สายกีต้าร์คลาสสิค | ราคา 160-200 บาท | |
สายแบนโจ | ราคา 150 บาท | |
สายแมนโดลิน | ราคา 250 บาท | |
สายไวโอลิน | ราคา 290 บาท | |
สายเชลโล่ | ราคา 790 บาท | |
สายดับเบิ้ลเบส | ราคา 1200 บาท |